Upskilling & Reskilling กุญแจสู่ความยั่งยืนขององค์กร

ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทแบบทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเรื่องปกติที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ โผล่มาแทบทุกวัน พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนตลอดเวลา ทำให้ “ทักษะ” ที่เรามีอยู่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะใช้ได้ยาวไปอีกหลายปีเหมือนในอดีต นี่จึงเป็นเหตุผลที่คำว่า Upskilling และ Reskilling กำลังถูกพูดถึงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันไม่ใช่แค่แฟชั่นการเรียนรู้ แต่เป็น “กุญแจ” ที่จะช่วยให้องค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืนจริง ๆ

Upskilling vs. Reskilling ต่างกันยังไง?

หลายคนอาจจะงงว่ามันต่างกันตรงไหน จริง ๆ แล้วทั้งสองอย่างมีเป้าหมายเดียวกันคือ พัฒนาคนให้พร้อมต่ออนาคต แต่รายละเอียดต่างกันนิดหน่อย

  • Upskilling การพัฒนาทักษะที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น หรือเพิ่มเติมความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ เช่น พนักงานการตลาดที่เรียนรู้การใช้ AI Tools เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้แม่นยำขึ้น
  • Reskilling การเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อเปลี่ยนไปทำงานอีกสายหนึ่งได้ เช่น พนักงานฝ่ายปฏิบัติการที่ได้รับการฝึกให้ทำงานด้าน Data Analysis เพราะบริษัทต้องการคนในสายนี้มากขึ้น

สรุปง่าย ๆ คือ Upskilling = ทำงานเดิมให้เก่งขึ้น ส่วน Reskilling = ทำงานใหม่ได้ด้วย นั่นเอง

ทำไม Upskilling & Reskilling ถึงสำคัญกับองค์กร?

ลองนึกภาพดูว่าถ้าองค์กรยังใช้ทักษะเดิม ๆ โดยไม่พัฒนาเลย สุดท้ายก็อาจถูกคู่แข่งที่พร้อมกว่าแซงหน้าได้ง่าย ๆ แต่ถ้าองค์กรลงทุนกับคน ให้พวกเขามีทักษะที่ทันสมัย ก็จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

  1. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
    องค์กรที่มีพนักงานพร้อมใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือเข้าใจเทรนด์ตลาดล่าสุด ย่อมเคลื่อนไหวได้ไวกว่าองค์กรที่ยังยึดติดกับวิธีเก่า
  2. รักษาและดึงดูดคนเก่ง
    พนักงานยุคใหม่ไม่ได้มองหาแค่เงินเดือน แต่เขาอยากทำงานในที่ที่ “ลงทุนกับคน” ถ้าองค์กรมีโปรแกรม Upskilling & Reskilling ที่จริงจัง ก็จะช่วยสร้าง Employer Branding ที่แข็งแรง
  3. สร้างความยืดหยุ่นในองค์กร
    เมื่อทีมงานสามารถทำงานได้หลายด้าน องค์กรก็พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เช่น หากบางตำแหน่งหายไปจากการถูกแทนด้วยเทคโนโลยี คนในทีมก็ยังสามารถโยกไปทำงานใหม่ได้
  4. ลดต้นทุนระยะยาว
    การฝึกอบรมคนที่มีอยู่ให้เก่งขึ้น อาจใช้เงินน้อยกว่าการจ้างคนใหม่เข้ามาเสมอไป แถมยังลดความเสี่ยงเรื่องการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรอีกด้วย

ตัวอย่างจริงที่เห็นภาพ

  • Amazon ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซลงทุนกว่าพันล้านดอลลาร์ในโครงการ Reskilling เพื่อเตรียมพนักงานให้พร้อมกับงานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
  • IBM สร้างแพลตฟอร์มเรียนรู้ภายในสำหรับ Upskilling โดยเฉพาะ เพื่อให้พนักงานเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
  • องค์กรไทยหลายแห่ง เริ่มจัดโปรแกรมฝึกอบรมด้าน Digital Skills เช่น การใช้ Data Analytics, Digital Marketing, หรือ Cybersecurity

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการลงทุนกับคนไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น ความจำเป็น ที่องค์กรไม่สามารถมองข้ามได้

จะเริ่ม Upskilling & Reskilling ยังไงดี?

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือเล็ก ก็สามารถเริ่มต้นได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้

  1. ประเมินความต้องการขององค์กร
    ลองถามตัวเองว่าอีก 3–5 ปีข้างหน้า องค์กรจะไปในทิศทางไหน ต้องการทักษะแบบใดเพิ่มขึ้น หรือมีตำแหน่งงานใดที่อาจหายไป
  2. สำรวจทักษะของพนักงานปัจจุบัน
    ดูว่าพนักงานมีความสามารถด้านไหนแล้วบ้าง และยังขาดอะไรอยู่บ้าง
  3. ออกแบบโปรแกรมเรียนรู้ที่หลากหลาย
    การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเทรนนิ่งเสมอไป อาจใช้รูปแบบ E-learning, Workshop, Mentorship หรือแม้แต่ Project-based learning
  4. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้
    ถ้าองค์กรส่งเสริมให้คนเรียนรู้ตลอดเวลา โดยไม่ทำให้เป็นภาระจนเกินไป พนักงานก็จะเปิดใจมากขึ้น เช่น การให้เวลาชั่วโมงเรียนรู้ต่อสัปดาห์ หรือการแชร์ความรู้ในทีม
  5. วัดผลและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    ไม่ใช่จัดอบรมแล้วจบ แต่ต้องติดตามผลว่าพนักงานนำสิ่งที่เรียนไปใช้จริงได้ไหม และช่วยให้งานมีประสิทธิภาพขึ้นหรือเปล่า

ในยุคที่โลกธุรกิจไม่เคยหยุดนิ่ง การพัฒนาเพียง “องค์กร” โดยไม่สนใจ “คน” คงไม่พออีกต่อไป เพราะคนคือตัวขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้กลยุทธ์หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดผลจริง การลงทุนใน Upskilling และ Reskilling จึงไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการ “ลงทุนระยะยาว” ที่ช่วยให้องค์กรยั่งยืน อยู่รอด และเติบโตได้อย่างมั่นคงสุดท้ายแล้ว องค์กรที่แข็งแรงคือองค์กรที่ “คน” แข็งแรงด้วย เพราะเครื่องจักรหรือ AI อาจช่วยทำงานแทนได้หลายอย่าง แต่ ความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจมนุษย์ และความยืดหยุ่นในการปรับตัว ยังเป็นทักษะที่ต้องอาศัย “คน” อยู่ดี และนั่นคือเหตุผลที่เราควรให้ความสำคัญกับ Upskilling & Reskilling ตั้งแต่วันนี้